แบคทีเรีย
Vibrio cholerae
1. บทนำ
โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง
(อหิวาตกโรค) เกิดจากการติดเชื้อ Vibrio
cholerae serogroup O(โอ)1
ซึ่งมี 2 biotypes คือ classical และ El
Tor แต่ละ biotype แบ่งออกได้เป็น 3
serotypes คือ Inaba, Ogawa และ Hikojima
เชื้อเหล่านี้สร้างสารพิษเรียกว่า Cholera toxin ทำให้มีอาการถ่ายเป็นน้ำทันทีโดยไม่ปวดท้อง
ลักษณะเฉพาะของอุจจาระผู้ป่วยคือมักจะมีสีขุ่นเหมือนน้ำซาวข้าว ในปี พ.ศ. 2535 -
2536
เกิดการระบาดครั้งใหญ่ในอินเดียและบังคลาเทศสาเหตุเกิดจากเชื้อสายพันธุ์ใหม่คือ V.cholerae O139
โดยที่ครั้งแรกตรวจพบสาเหตุการระบาดจากเชื้อ V.cholerae non O1 ที่ไม่ทำปฏิกิริยากับ V.cholerae antiserum O2-O138 ซึ่งปรกติกลไกก่อโรคจากเชื้อกลุ่มนี้มิได้เกิดจาก Cholera
toxin สายพันธุ์ใหม่ที่พบสามารถสร้าง Cholera toxin ได้เหมือน V.cholerae O1 ต่างกันที่โครงสร้าง Lipopolysaccharides (LPS) ที่เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ของเชื้อ
อาการทางคลินิกและลักษณะทางระบาดวิทยาเหมือนกับโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงทุกประการ
ดังนั้นองค์การอนามัยโลกแนะนำให้รายงานว่าเป็นโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงด้วย
สำหรับเชื้อ V.cholerae ในปัจจุบันมีถึง 194 serogroups การรายงานเชื้อ V.cholerae ที่ไม่ใช่ทั้ง O1 และ O139 ให้เรียกว่าเป็น V.cholerae non O1/non O139 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อให้เกิดอาการกระเพาะและลำไส้อักเสบ เชื้อ V.cholerae non O1/non O139 บาง serotype อาจผลิต cholera toxin ก่อให้เกิดอาการคล้ายโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงได้ นอกจากนั้นมีรายงานพบเชื้อ
V.cholerae O141
ในปี พ.ศ. 2540 ที่ประเทศญี่ปุ่นที่สร้างสารพิษชนิดที่กล่าวมา
จึงจำเป็นต้องตรวจการสร้างสารพิษชนิดนี้
นอกเหนือจากการเฝ้าระวังเชื้อด้วยเพื่อป้องกันการระบาดใหญ่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการมีความสำคัญมาก เนื่องจากไม่สามารถแยกผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงอย่างแรง
(อหิวาตกโรค) จากการติดเชื้อ V.cholerae
O1 และ O139 ได้ด้วยอาการทางคลินิก
ตั้งแต่มีการระบาดใหญ่ครั้งที่ 7 ในปี พ.ศ. 2504 จนถึง พ.ศ. 2540
ไม่มีรายงานการพบเชื้อ V.cholerae
O1 biotype classical เลย
มีเพียงรายงานการพบในประเทศบังคลาเทศในปี พ.ศ. 2527
การแพร่เชื้อ
V.cholerae O1
และ O139 สายพันธุ์ที่สร้างสารพิษนั้น
โดยธรรมชาติเชื้อจะมีชีวิตอยู่ได้ดีและสร้างสารพิษเฉพาะในลำไส้ของคน
ซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อก่อให้เกิดการระบาดคือผู้ติดเชื้อเท่านั้น
การเกี่ยวข้องกับน้ำหรือสิ่งแวดล้อมเพราะมีการปนเปื้อนจากอุจจาระหรือสิ่งโสโครก
ถ้าในขณะนั้นไม่มีผู้ป่วยที่ใช้น้ำหรือทำให้เกิดการปนเปื้อนอยู่ในบริเวณนั้น
มักตรวจไม่พบเชื้อจากน้ำหรือสิ่งแวดล้อม
ในขณะนั้นไม่มีผู้ป่วยที่ใช้น้ำหรือทำให้เกิดการปนเปื้อนอยู่ในบริเวณนั้น
มักตรวจไม่พบเชื้อจากน้ำหรือสิ่งแวดล้อม ในขณะที่มีการระบาด
จะตรวจพบเชื้อได้จากผู้ป่วย ผู้ที่เป็นพาหะ ผู้สัมผัสที่ไม่มีอาการ อาหารที่สงสัย
และภาชนะที่ใช้ประกอบอาหารน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติอาจถูกสงสัยว่าเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อและเป็นสาเหตุของการระบาดหลังจากนั้นเชื้อจะไม่ปรากฏอีกหลังจากการระบาดสงบลง
V.cholerae เป็นเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอิสระอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีน้ำโซเดียมอิออนกกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อได้
จึงพบเชื้อตามเขตน้ำกร่อย บริเวณปากแม่น้ำที่ติดทะเล และพบได้ในน้ำจืด
และอาหารทะเล จำพวก กุ้ง หอย ปู เป็นต้น แต่มักจะพบมากเฉพาะ V.
cholerae non O1/non
O139 ในบางฤดูกาลที่สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมกับการเจริญเติมโตของเชื้อ
อาจตรวจพบเชื้อ V.cholerae O1 ได้ในสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ที่ผิวไรน้ำ ในลำไส้ของแพลงตอนพืช
แพลงตอนสัตว์ และสาหร่าย และพบในสภาวะที่มีชีวิตแต่เพาะเชื้อไม่ขึ้น จึงต้องตรวจหาด้วยวิธีอื่น
ข้อมูลการเฝ้าระวังเชื้อของห้องปฏิบัติการอ้างอิง ฝ่ายแบคทีเรียลำไส้
กลุ่มงานแบคทีเรียทางการแพทย์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นนทบุรี มีดังนี้คือ
การตรวจยืนยันเชื้อ V.cholerae
การตรวจยืนยันเชื้อจากผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงอย่างแรง
33,423 ราย ระหว่างปี พ.ศ. 2523 - 2546 รวม 24 ปี พบเชื้อ V.cholerae O1,
biotype Ei Tor ไม่พบ biotype Classical การเปลี่ยนแปลง serogroups และ serotypes มีดังนี้
การเปลี่ยน
serotype ระหว่าง Ogawa และ Inaba
ของเชื้อ V.cholerae
O1, biotype EI Tor ในประเทศไทย
ระยะที่
1 (พ.ศ. 2523 - 2524) ในปี พ.ศ. 2523 พบ serotype Ogawa มากกว่า Inaba ต่อมาในปี พ.ศ. 2524 พบเชื้อทั้ง 2
serotypes น้อยมาก ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2525 - 2532) รวม 8 ปี
เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนจาก serotype Ogawa มาเป็น Inaba
โดยในปี พ.ศ. 2525 ไม่พบ Ogawa เลย ตั้งแต่
พ.ศ. 2526 - 2531 พบ Inaba มากกว่า Ogawa โดยตลอด ในปี พ.ศ. 2532 เริ่มพล Ogawa สูงขึ้นแต่ยังน้อยกว่า
Inaba ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2533 - 2543) รวม 11 ปี
เป็นระยะที่เข้าสู่การเปลี่ยนกลับจาก serotype Inaba มาเป็น Ogawa
อีก ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2544 - มิ.ย. 2546) รวม 3 ปี
เป็นระยะที่เข้าสู่การเปลี่ยนกลับจาก serotype Ogawa มาเป็น Inaba
อีก
การอุบัติใหม่ (emerging) ของเชื้อ V. cholerae O139 ในประเทศไทย
พบเชื้อ
V. cholerae O139
ครั้งแรกเล็กน้อยในปี พ.ศ. 2536 และสูงขึ้นมากในปี พ.ศ. 2537
ในสัดส่วนที่เท่ากับพบเชื้อ V.cholerae
O1 คือประมาณร้อยละ 50 ลดลงมากในระหว่างปี พ.ศ. 2538 - 2545
เชื้อดื้อต่อยา Cotrimoxazole เกือบทั้งหมด ดื้อต่อ Tetracycline
น้อยกว่าร้อยละ 1
การอุบัติใหม่ (emerging) ของเชื้อ V.cholerae O141 ในประเทศไทย
ในปี
พ.ศ. 2546 ตรวจพบเชื้อ V.cholerae O141 ครั้งแรกในประเทศไทยจำนวน 4
สายพันธุ์ คิดเป็นร้อยละ 0.6 จากเชื้อ V.cholerae non O1/non 0139 ที่พบในรอบ 10 ปี จำนวน 709 สายพันธุ์ แต่ตรวจไม่พบยีนส์ควบคุมการสร้างสารพิษ
การตรวจหายีนส์ที่ควบคุมการสร้างสารพิษก่อโรคลำไส้
(enterotoxin) โดย Multiplex PCR (Polymerase
chain reation)
ในปี พ.ศ. 2546 ตรวจหา cholera toxin (ct), accessory cholera enterotoxin gene (ace) และ zonula occludens toxin gene (zot) โดย V.cholerae O1 พบร้อยละ 99.6 (275/276
สายพันธุ์), V.cholerae O139 พบร้อยละ 96.6 (200/207 สายพันธุ์), V. cholerae non O1/non O139/non O141 พบร้อยละ
0.1 (1/705 สายพันธุ์), V. cholerae O141 พบร้อยละ 0 (0/4
สายพันธุ์)
2. การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ
2.1 วิธีการตรวจวินัจฉัยมาตรฐาน
วิธีการเพาะเชื้อจากอุจจาระ
อาหาร และน้ำ จากการสอบสวนโรค เพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอุจจาระร่วงอย่างแรง
ได้แก่ เชื้อ V.cholerae
2.2 การตรวจหายีสส์ควบคุมกลไกก่อโรค
วิธี
Multiplex PCR ตรวจดีเอ็นเอของเชื้อที่แยกได้จากผู้ป่วย
ซึ่งมียีนส์ควบคุมกลไกก่อโรค เป็นสายพันธุ์ที่สามารถสร้างสารพิษก่อโรคลำไส้ (enterotoxin)
3. การเก็บและนำส่งตัวอย่าง
3.1 การเก็บอุจจาระ (rectal swabs) เพื่อส่งตรวจหาเชื้อแบคทีเรียลำไส้ทางห้องปฏิบัติการ
เก็บอุจจาระจากผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงหรือกระเพาะและลำไส้อักเสบ
โดยใช้ไม้พันสำสีเก็บจาก rectal swab หลังจากนั้นใส่ในอาหารนำส่งตัวอย่าง
Cary-Blair medium (แสดงในภาพที่ 1)
3.2 การเก็บตัวอย่างจากสิ่งแวดล้อม
การเก็บตัวอย่างอาหารและน้ำเพื่อส่งตรวจหาเชื้อ
V.cholerae ทางห้องปฏิบัติการ
มักจะพบปัญหาเรื่องอุปกรณ์เก็บตัวอย่างตรวจในกรณีฉุกเฉินเพื่อการสอบสวนโรค
ดังนั้นการประยุกต์ใช้ถุงพลาสติก (poly-ethylene bag) ทนความร้อนที่ใหม่และสะอาดสามารถใช้ทดแทนขวดแก้วได้
ถุงพลาสติก
ขนาดประมาณ 6 x 9 นิ้ว
หรือที่เหมาะสม ใช้ในการเก็บน้ำ ปริมาตร 50 - 500 มิลลิลิตร
ไม่ควรเก็บปริมาตรน้อยจะทำให้ตรวจไม่พบเชื้อ หรืออาหารปริมาณ 25 - 200 กรัม
กรณีอาหารให้เก็บเท่าที่มีอาหารเหลือได้ ใช้ยางรัดปากถุงให้แน่น
ติดฉลากเขียนรายละเอียดสิ่งส่งตรวจ พร้อมสถานที่ วันที่เก็บและความเกี่ยวข้องกับการสอบสวนโรค
หลังจากนั้นควรใส่ในถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง รัดให้แน่น เพื่อไม่ให้ตัวอย่างหก
และป้องกันสลากเปียก ตัวหนังสือเลอะเลือนและหลุดลอก
การนำส่ง
ตัวอย่างอุจจาระใน Cary-Blair medium ส่งตรวจหาเชื้อ V.cholerae ไม่ต้องใส่ในกระติกน้ำแข็ง
ให้ใส่ในภาชนะที่ป้องกันมิให้ขวดแตก ยกเว้นตัวอย่างอาหารและน้ำ
ต้องใส่ในภาชนะบรรจุน้ำแข็ง อุณหภูมิ 4-10 °ซ
เพื่อป้องกันอาหารเน่าเสีย
รวมทั้งป้องกันเชื้อไม่ก่อโรคเพิ่มจำนวนมากกว่าเชื้อโรคที่ต้องการตรวจ
4. เครือข่ายการตรวจวินิจฉัย
ในประเทศ
ห้องปฏิบัติการโรงพยาบาลและฝ่ายแบคทีเรียลำไส้
กลุ่มงานแบคทีเรียทางการแพทย์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นนทบุรี
ต่างประเทศ
Department of
Bacteriology, National Institute of Infections Diseases, Tokyo, Japan.
5. วิธีการตรวจ
5.1 หลักการ
การแยกเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคสามารถทำได้ที่ห้องชันสูตรที่มีความพร้อม
ในกรณีผู้ป่วยอุจจาระร่วงอย่างแรงจากเชื้อ V.cholerae O1 จะมีเชื้อในอุจจาระประมาณ 106 ถึง 109 เซลล์ต่อมล.
ในผู้สัมผัสจะมีเชื้อประมาณ 105 ถึง 107 เซลล์ต่อมล. ในกรณีของ V.cholerae O139 จำนวน
เชื้อในอุจจาระผู้ป่วยจะใกล้เคียงกันคือ 105 ถึง 108 เซลล์ต่อมล.
ถ้าส่งตัวอย่างด้วย Cary Blair เมื่อส่งถึงห้องปฏิบัติการ
ควรนำ rectal swab ออกใส่ใน Alkaline peptone water
(APW) pH 8.4 บ่มไว้ที่ 35 - 37 °ซ , 6 - 8 ชั่วโมง ก่อนที่จะเพาะเชื้อลงบนอาหารเฉพาะคือ Thiosulfale
citrate bile salt sucrose agar (TCBS) บ่มไว้ที่ 35 - 37 °ซ, 16 - 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ถ้าเพิ่มจำนวนเชื้อจาก rectal
swab ใน APW ก่อนเพาะเชื้อลงบน TCBS จะมีโอกาส ตรวจพบเชื้อ V. cholerae O1 มากกว่าการเพาะเชื้อโดยตรงจาก
rectal swab
5.2 การเพาะเชื้อ
การเพาะเชื้อจาก Rectal swab ที่เก็บใน Cary - Blair medium
ถ้าทำเพียงขั้นตอนเดียวแนะนำให้เพิ่มปริมาณเชื้อใน APW แล้วนำไปเพาะลงอาหารแยกเชื้อต่อไป
การเพาะเชื้อจากน้ำและอาหาร ห้องปฏิบัติการชันสูตรในโรงพยาบาลปรกติมีหน้าที่ตรวจเฉพาะตัวอย่างจากผู้ป่วยเพื่อการวินิจฉัยและการรักษา
ไม่ได้มีหน้าที่เป็นห้องปฏิบัติการด้านสาธารณสุขเพื่อสนับสนุนการสอบสวนโรคระบาด
เช่น กรณี การตรวจน้ำ และอาหาร จึงไม่มีอุปกรณ์ในการเก็บตัวอย่างและการเพาะเชื้อ
นอกจากนั้นตู้บ่มเชื้ออาจมีขนาดเล็กไม่สามารถรองรับภาชนะใส่ตัวอย่างบ่มเชื้อที่ต้องใช้เนื้อที่มาก
ดังนั้นในกรณีโรคระบาดฉุกเฉิน สามารถใช้ถุงพลาสติกใช้ถุงพลาสติกทนความร้อน หรือ stomacher bag ซึ่งปรกติใช้ในห้องปฏิบัติการด้านตรวจอาหารที่ใช้กับเครื่องเขย่าตัวอย่างอาหารกับอาหารเลี้ยงเชื้อเพื่อให้เชื้อหลุดออกมาในอาหารเลี้ยงเชื้อ
การเตรียมตัวอย่างก่อนการเพาะเชื้อจากน้ำ
ให้ใช้น้ำปริมาตรเท่ากันเช่นใส่น้ำ 100 มิลลิลิตร ลงใน 100 มิลลิลิตร
ของอาหารเพิ่มจำนวนเชื้อชนิดความเข้มข้นสองเท่า (2%
APW) (แสดงในภาพที่ 3)
การเตรียมตัวอย่างก่อนการเพาะเชื้อจากอาหาร
ให้ตัดอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ ปรืมาณ 25 กรัม ใส่ลงใน 225 มิลลิลิตร
ของอาหารเพิ่มจำนวนเชื้อชนิดความเข้มข้นปรกติ (1%
APW) (แสดงในภาพที่ 3)
การเพาะเชื้อ
นำตัวอย่างทั้งหมดที่ใส่อาหารเพิ่มจำนวนเชื้อที่อยู่ใน stomacher bag แล้วใส่ในกล่องพลาสติก (แสดงในภาพที่ 4)
ซึ่งใส่ได้หลายตัวอย่าง นำไปบ่มไว้ที่ 35 - 37 °ซ, 6 - 8 ชั่วโมง ก่อนที่จะเพาะเชื้อลงบนอาหารเฉพาะคือ TCBS เชื้อที่สงสัยว่าเป็น V.cholerae
ที่บ่มไว้นาน 18 - 24 ชั่วโมง จะมีโคโลนีสีเหลือง กลม
ค่อนข้างแบน ขอบเรียบและมีสีใส (แสดงในภาพที่ 4)
การทดสอบทางซีรั่มวิทยาเพื่อแยกเชื้อ V.cholerae ขั้นต้น
นำเชื้อที่สงสัยว่าเป็น V.cholerae บนจานอาหาร
TCBS ที่บ่มไว้นาน 18 - 24 ชั่วโมง นำโคโลนีบน TCBS หรือ nutrient agar plate (NA) ที่มีเกลือโซเดียมคลอไรด์ร้อยละ
1 มาทดสอบปฏิกิริยาการเกาะกลุ่ม (agglutinate) กับ V.cholerae O1 และ O139
antiserum บนแผ่นสไลด์ (แสดงในภาพที่ 4) และ ควบคุมคุณภาพ
ด้วยการทดสอบกับน้ำเกลือ (0.85% NaCI)
การรายงานในเบื้องต้น
(Presumptive report) ภายใน 24 - 48 ชั่วโมง
รายงานการตรวจพบ
: พบเชื้อ Vibrio cholerae O1 หรือ Vibrio
cholerae O139
รายงานการตรวจไม่พบ
: ไม่พบเชื้อ Vibrio cholerae O1 หรือ O139
การรายงานเบื้องต้นใน 24 - 48
ชั่วโมงนี้สำคัญเป็นพิเศษกรณีที่กำลังมีการสอบสวนการเกิด outbreak ไม่ควรรายงานว่าพบเชื้อ V.cholerae non O1/non O139 กรณีที่เชื้อที่ไม่ทำปฏิกิริยาเกาะกลุ่มกับแอนติซีรัมดังกล่าวเพราะ
อาจเป็น vibrio อื่นที่ไม่ใช่ V.cholerae ต้องทดสอบเพิ่มเติมในขั้นตอนการแยกเชื้อในเบื้องต้น
การวินิจฉัยเชื้อในเบื้องต้น
นำโคโลนีเชื้อที่สงสัยบนจานอาหาร TCBS ไปทดสอบทางชีวเคมี โดยใส่ในอาหาร Triple sugar iron agar (TSI),
Lysine Indole motility medium (LIM) และ Nutrient agar
slant (NA) ที่มีเกลือโซเดียมคลอไรด์ร้อยละ 1 บ่มไว้ที่ 35 - 37
°ซ , 18 - 24 ชั่วโมง ถ้าเชื้อที่ขึ้นในอาหาร TSI
ให้ผลเป็น acid/acid หรือ alkaline/acid,
ไม่มีแก๊ส ไม่มีไฮโดรเจนซัสไฟด์ และ LIM ให้ผลบวกกับ
lysine, indole, และ motile ให้สงสัยว่าอาจเป็นเชื้อ
V.cholerae ให้ทำการวินิจฉัยเชื้อในขั้นตอนต่อไป
(แสดงในภาพที่5)
ทดสอบปฏิกิริยาทางซีรั่มวิทยา
(Confirmatory slide agglutination) โดยนำเชื้อที่สงสัยว่าอาจเป็นเชื้อ
V.cholerae มาทดสอบปฏิกิริยาการเกาะกลุ่ม
(agglutinate) กับ V.cholerae O1 และ O139
polyvalent antiserum ตามวิธีที่กล่าวมาข้างต้น สำหรับ V.cholerae O1 ให้ทดสอบทดสอบต่อกับ Ogawa
และ Inaba monovalent antiserum ควรทดสอบ oxidase
ด้วยเป็นการแยกเชื้อ Vibrio ที่ oxidase
บวก กับ Enterobacteriaceae ที่ oxidase
ลบ รายงานผลการตรวจวินิจฉัยในเบื้องต้น
และส่งเชื้อต่อไปตรวจยืนยันที่ห้องปฏิบัติการอ้างอิง
ส่งเชื้อไปตรวจยืนยันที่ห้องปฏิบัติการอ้างอิงโดย
เพาะเชื้อลงใน nutrient agar + 1%
NaCI ในหลอดหรือขวด ส่งทางไปรษณีย์ เพื่อตรวจหา serogroup,
serotype และ biotype และ
ตรวจหายีนส์ควบคุมการสร้างสารพิษ
รูปที่ 1 เชื้อ Vibrio cholerae ตรวจยืนยัน พ.ศ. 2523 - มิ.ย. 2546
ในประเทศไทย
รูปที่ 2 การเก็บอุจจาระ (rectal swab)
รูปที่ 3 การเตรียมตัวอย่างอาหารและน้ำตรวจหาเชื้อโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงในอาหารและน้ำ
รูปที่ 4
การตรวจหาเชื้อโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงในอาหารและน้ำ
รูปที่ 5
การตรวจวินิจฉัยเชื้อโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงในอาหารและน้ำ
6. เอกสารอ้างอิง
1.กรองแก้ว ศุภวัฒน์ Vibrio cholerae (classical) และ Vibrio cholerae O139 ใน : ไพจิตร์ วราชิต ณัฎฐีวรรณ ปุ่นวัน บรรณาธิการ
โรคติดต่อที่เป็นปัญหาใหม่ : คู่มือการตรวจทางห้องปฎบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข ISBN 974-291-010-3 กรุงเทพฯ : บริษัท
เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับลิเคชั่น มกราคม 2541;97-124
2.กรองแก้ว ศุภวัฒน์ และคณะ Vibrio cholerae รายงานการประชุมปฏิบัติการโรคอุจจาระร่วง ครั้งที่ 12
การควบคุมโรคอุจจาระร่วง ปัญหาและแนวทางแก้ไขในทศวรรษหน้า 24 - 26 ตุลาคม 2543
โรงพยาบาลรามาธิบดี ISBN 974-297-059-9 กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย 2544 ; 34 - 39
ที่มา : หนังสือ
โรคติดเชื้ออุบัติใหม่และอุบัตซ้ำ : คู่มือการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ศาสตร์สาธารณสุข
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์